top of page

“การเลือกปฏิบัติ” อย่างไม่เท่าเทียมในชีวิตจริงของ LGBTQIA+



เพราะแตกต่าง…จึงถูกเลือกปฏิบัติ?
ความหลากหลายทางเพศที่คนส่วนมาก ยังไม่เข้าใจ

จิตวิทยาพบว่า อคติที่สังคมมีต่อชาว LGBTQIA+ อาจประกอบด้วย 3 รูปแบบ (บุญญศิริวัฒน์, 2017) คือ


1. เชื่อแบบเหมารวม (Stereotype)

หรือการเชื่อว่าคนกลุ่มหนึ่งต้องเป็นเหมือนๆ กัน (ซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด)


2. รู้สึกรังเกียจยกกลุ่ม (Prejudice)

เพราะเหมารวมว่าคนกลุ่มหนึ่งต้องมีลักษณะบางอย่างเหมือนกัน เลยเกิดความรู้สึกหรือทัศนคติเชิงลบต่อคนกลุ่มนั้นทั้งกลุ่ม


เช่น “ไม่อยากร่วมงานด้วยกับคนกลุ่มนี้”, “ไม่ชอบคนในกลุ่มนั้น”

3. เลือกปฏิบัติ (Discrimination)

หรือสองมาตรฐาน ปฏิบัติกับคนกลุ่มนี้แตกต่าง จากคนอื่นๆ ไปจนถึงเหมารวมกีดกันอย่างไม่ยุติธรรม


เช่น "เพราะเป็นคนกลุ่ม LGBTQIA+ เลยไม่รับเข้าทำงาน"



การเลือกปฏิบัติ 4 รูปแบบที่ไม่ยุติธรรมกับ LGBTQIA+


LGBTQIA+ หลายๆ คน อาจเคยเจ็บปวด กับเรื่องเหล่านี้...

(Rpharms.com)


1. ถูกเลือกปฏิบัติโดยตรง (Direct Discrimination)

คือ ปฏิบัติต่อใครคนหนึ่งแย่กว่าคนอื่นอย่างชัดเจนเพราะ “รสนิยม หรือ ตัวตนทางเพศ” (Sexual Orientation & Gender Identity) ของเขา


เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งไปสมัครงาน และพูดถึง “แฟนสาว” แม้ว่าโพรไฟล์และประวัติการทำงานจะน่าสนใจมากแต่ไม่ได้รับเลือก...


2. ถูกเลือกปฏิบัติทางอ้อม (Indirect Discrimination)

คือ กฎระเบียบหรือนโยบายที่ดูเหมือนจะเป็นกลาง แต่กลับส่งผลเสียต่อกลุ่มคนที่มี รสนิยมหรือตัวตนทางเพศบางกลุ่มโดยเฉพาะ


เช่น นโยบายที่ทำงานที่ให้สิทธิ์ลาสำหรับ "คู่สมรส" เท่านั้น ซึ่งบอกอ้อมๆ ว่าไม่ครอบคลุมถึงคู่ชีวิตเพศเดียวกัน


3. ถูกคุกคาม (Harassment)

คือ กระทำที่ทำให้รู้สึกอับอาย ถูกล่วงละเมิด หรือถูกลดทอนศักดิ์ศรี เพราะมีรสนิยมหรือตัวตนทางเพศที่ต่างไป


เช่น พนักงาน Transgender ถูกจงใจเรียกด้วยสรรพนามผิดซ้ำๆ แม้จะเคยบอกไปแล้ว โดยอีกฝ่ายอ้างว่าเป็นแค่ “การหยอกล้อ” ซึ่งทำให้พนักงานคนนั้นรู้สึกเจ็บปวดและไม่ได้รับความเคารพ


4. ตกเป็นเหยื่อ (Victimisation)

คือ ถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม เพราะไม่สนับสนุนการถูกเลือกปฏิบัติ ถูกเหยียด ฯลฯ หรือช่วยเหลือคนที่โดนทำแบบเดียวกัน


เช่น ไปร้องเรียนเรื่องถูกคุกคาม แต่กลับโดนหัวหน้ากีดกันออกจากโปรเจกต์สำคัญ หรือถูกซ้ำเติมอื่นๆ


เข้าใจในความแตกต่างเพื่อ “ลดการเลือกปฏิบัติ”


เพศวิถี vs อัตลักษณ์ทางเพศ
เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน
“แรงดึงดูด” และ “ตัวตน”

การทำความรู้จัก 2 เรื่องนี้ จะทำให้เราเข้าใจมุมมองของ LGBTQIA+ มากขึ้น และลดการเลือกปฏิบัติ รวมทั้งไม่เผลอแสดง Microaggressions (ทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม)


1. เพศวิถี (Sexual Orientation)

คือ เรื่องของแรงดึงดูดทางใจและ/หรือทางเพศ “เราชอบใคร?” (รสนิยมทางเพศ)


✔️ ดึงดูดเพศเดียวกัน เช่น เกย์, เลสเบี้ยน
✔️ ดึงดูดเพศตรงข้าม (Heterosexual)
✔️ ดึงดูดได้มากกว่า 1 เพศ (Bisexual)

2. อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity)

คือ ความรู้สึกจากข้างใน ที่รับรู้ว่าตัวตนเราเป็นเพศอะไร “เราคือใคร?” อาจไม่ตรงกับเพศสภาพโดยกำเนิด ที่เป็นชายหรือหญิงก็ได้ (ควรทำความเข้าใจว่าใน 1 คน “เพศวิถี” และ “อัตลักษณ์ทางเพศ” ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกันเสมอไป)




ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?

เป็นใครก็อึดอัดถ้าต้องเจอกับ Microaggressions ที่ไม่ว่าจะเป็น คำพูด และ การกระทำ แบบนี้

“มีแฟนเป็นผู้หญิง/ผู้ชายเหรอ?”
“แล้วใครเป็นฝ่ายชายในความสัมพันธ์?”
“เลือกที่จะเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“จะไปผ่าตัดเมื่อไหร่?”

(อ่านเรื่อง Microaggression เพิ่มเติมได้ในบทความก่อนหน้าของ Mission On)


รู้ไหมว่า? พนักงานชาว LGBT มากกว่า 1 ใน 3 เคยปิดบังตัวตนในที่ทำงาน เพราะกลัวการถูกเลือกปฏิบัติ

(Rpharms.com)



การต้องเจอ Microaggressions บ่อยๆ ทำให้ชาว LGBTQIA+ รู้สึกอึดอัด เพราะต้องคอย "แก้ไขความเข้าใจผิด" ที่คนอื่นมีต่อตัวเอง หรือแม้แต่ต้อง "เปิดเผยตัวตน" (Come out) ซึ่งบางครั้งสร้างความรู้สึกวิตกกังวลอย่างมากได้

งานวิจัยพบว่า LGBTQIA+ มักจะไม่ได้รับการยอมรับในที่ทำงาน ถูกมองว่าไม่เป็นมืออาชีพ และต้องเจออุปสรรคที่ขัดขวางความก้าวหน้าในอาชีพมากกว่าคนอื่นๆ ในสังคม (Cech & Waidzunas, 2021, Rpharms.com)




บทความนี้แปลและดัดแปลงเนื้อหาบางส่วนมาจาก


อ้างอิง:

[1] Rpharms.com

[2] Psy.chula.ac.th

[3] Cech, E. A., & Waidzunas, T. J. (2021). Systemic inequalities for LGBTQ professionals in STEM. Science advances, 7(3), eabe0933. https://doi.org/10.1126/sciadv.abe0933





รู้จักกับนักจิตวิทยาการปรึกษาและนักจิตบำบัด



นัดพบนักจิตวิทยาการปรึกษาและนักจิตบำบัด




bottom of page