บทความจิตวิทยา
วิธีแก้ไขการสื่อสารเป็นพิษ [3] — เปลี่ยนจากปกป้องตัวเอง (แบบไม่เป็นมิตร) เป็นยอมรับและรับผิดชอบ
พฤติกรรมปกป้องตัวเองแบบนี้ เช่น แก้ตัว แสดงความขุ่นเคือง ต่อต้าน เล่นบทเหยื่อและกล่าวโทษอีกฝ่าย ฯลฯ ไม่เคยช่วยแก้ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ได้เลย มันยิ่งทำให้ความขัดแย้งบานปลาย แต่รู้ไหมว่า? 'ยาแก้พิษ' ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการสื่อสารแบบปกป้องตัวเอง คือ "การยินยอมที่จะรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง" แม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของความขัดแย้งนั้นก็ตาม
ไถฟีดไม่ระวัง — อาจได้ความเครียด วิตกกังวล ‘กระตุ้นบาดแผลทางใจ’ ให้กลับมาแบบไม่รู้ตัว
ไถฟีดแบบอันตราย (Doomscrolling) หรือการเสพข่าว คอนเทนต์บนโซเชียล จากข่าวหนึ่งไปสู่โพสต์ต่อไป ไปอ่านความคิดเห็น ไ ปอ่านต่อที่เพจอื่น และไปเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านเวลาไปนาน แต่สิ่งที่เหลือไว้คือ ความรู้สึกเครียดๆ วิตกกังวล อ่อนเพลีย หรืออารมณ์ที่ปั่นป่วนไปหมด
วิธีแก้ไขการสื่อสารเป็นพิษ [2] — เปลี่ยนคำเหยียดดูถูกเป็นชื่นชมและให้เกียรติ
เมื่อพบว่าในความสัมพันธ์ของเรามีการสื่อสารแบบ “ดูถูกเหยียดหยาม” รู้ได้เลยว่า มันคือมุมมองลบๆ ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสะสมมานาน จนปะทุออกมาเป็นคำพูด การกระทำร้ายๆ เช่น การพูดเสียดสี ประชดประชัน ล้อเลียน เย าะเย้ย เราจะมีวิธีจัดการแก้ไขหรือถอนพิษมันได้อย่างไร ตามมาดูกัน
วิธีแก้ไขการสื่อสารเป็นพิษ [1] — เปลี่ยนคำช่างติ ด้วยการไม่พูดกล่าวโทษที่ตัวตน
เราจะมีวิธีจัดการแก้ไขหรือถอนพิษ (Antidote) จากอัศวินตัวแรกอย่าง ‘การวิพากษ์วิจารณ์’ (Criticism) ในความสัมพันธ์ได้อย่างไรบ้าง? คำตอบคือ ใช้ I-Statement (หรือการไม่พูดกล่าวโทษที่ตัวตน) และเริ่มต้นบทสนทนาอย่างอ่อนโยน แต่ทำอย่างไร? ตามมาดูกัน
4 รูปแบบการสื่อสารที่เป็นพิษ บั่นทอนความสัมพันธ์จนอาจนำไปสู่จุดจบ!
4 รูปแบบการสื่อสารที่เป็นพิษว่า คือ (1) การวิพากษ์วิจารณ์ (2) ดูถูกเหยียดหยาม (3) ปกป้องตัวเอง/หาข้อแก้ตัว (4) ปิดกั้นทางอารมณ์ ที่ Dr John Gottman เรียกว่า “4 อัศวิน”เป็นการสื่อสารที่กัดกร่อนความสัมพันธ์ ทำให้ความขัดแย้งบานปลาย ทำลายความผูกพันจนนำไปสู่จุดจบในที่สุด
ก้าวแรกสู่การเยียวยาเมื่อเจอกับความสูญเสีย ถูกหักหลัง ไม่ให้เกียรติ
“การยอมรับ” ดูเหมือนเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก จนบางครั้งเราอาจรู้สึกอยากต่อต้านด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามมันเป็นส่วนสำคัญของการบำบัดเยียวยาจิตใจต่างๆ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? การรับรู้และยอมรับความจริงในปัจจุบันของตัวเอง "อย่างเป็นกลาง ไม่ตัดสิน" ช่วยเยียวยาเราจากความเจ็บปวดและบาดแผลทางใจอย่างไร? แล้วมาเริ่มฝึกฝนการยอมรับเบื้องต้นด้วย 4 ขั้นตอนแบบนี้...
เมื่อการมีอายุมากขึ้น อาจไม่ได้บ่งบอกว่าจะมี "วุฒิภาวะทางอารมณ์" ได้อย่างสมวัย (Emotional Immaturity 1)
บางคนแม้จะมีอายุที่มากขึ้น แต่ยังมีพฤติกรรมที่คล้ายเด็กๆ อย่างที่เรามักเรียกว่าขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ เช่น หุนหันพลันแล่น เรียกร้องความสนใจ โกรธฉุนเฉียวเมื่อไม่ได้ดั่งใจ หรือหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ จนดูออกได้อย่างชัดเจนว่าไม่สามารถควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ได้ จิตวิทยามีคำอธิบายในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
เทคนิคปลุกพลังใจยังไง? เมื่อรู้สึกชา ไร้เรี่ยวแรง (Window of Tolerance Part 7)
เมื่อเราเจอความเครียด-กดดันที่รุนแรง จนร่างกายมีภาวะ Hypoarousal หรือ ‘ตื่นตัวน้อยเกินไป' ที่มีอาการเฉื่อยชา หมดแรง ไร้ความรู้สึก ไปจนถึงไม่สามารถประมวลผลความคิด และเคลื่อนไหวร่างกายได้น้อยลง มาเรียนรู้วิธีการดูแลตัวเองเมื่อเจอภาวะแบบนี้กันค่ะ
เทคนิคกำกับควบคุมตัวเองยังไง? เมื่ออารมณ์พุ่งพล่าน! (Window of Tolerance Part 6)
เมื่อมีภาวะ Hyperarousal ที่ทำให้เราวิตกกังวล โกรธ แบบพลุ่งพล่านจนควบคุมไม่อยู่! อย่าปล่อยให้ตัวเอง ‘หลุด’ ออกจากหน้าต่างควาทนทาน มาเรียนรู้วิธีดึงตัวเองกลับมาสู่ “โซนสบาย” หรือสภาวะสมดุลของกายและใจ ที่ทำให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลาย แม้ต้องรับมือกับเรื่องเครียดๆ ในชีวิตประจำวันกันค่ะ
ขยายหน้าต่างความทนทานให้กว้างขึ้น ด้วย 4 วิธีง่ายๆ (Window of Tolerance Part 5)
การขยายหน้าต่างความทนทานให้กว้างขึ้น ช่วยให้เราอยู่ใน “โซนสบาย” หรือ สภาวะสมดุลของกายและใจได้นานขึ้น ช่วยหลีกเลี่ยงภาวะที่เราควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อเจอกับความเครียดสูงๆ ในขณะที่ต้องจัดการสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้ผ่านพ้นไปด้วยดี มี 4 วิธี ให้เลือกทำได้ดังต่อไปนี้
4 ขั้นตอนทำความรู้จัก “หน้าต่างความทนทาน” (Window of Tolerance Part 4)
การรู้จักกับ Window of Tolerance เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมันช่วยให้เรา ‘ฟื้นตัว’ จากสภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้โดยเฉพาะในเวลา ที่เรามีภาวะ Hyperarousal และ Hypoarousal ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จัก Window of Tolerance ของตัวเองด้วยการสังเกตุ ร่างกายและอารมณ์ ผ่าน 4 ขั้นตอนแบบนี้...
ใจเกินต้าน มาทำความรู้จักกับ ‘หน้าต่างความทนทาน’ (Window of Tolerance Part 1)
เมื่อสภาพจิตใจหรืออารมณ์ของเรา ‘ไม่พร้อม’ แค่เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เข้ามากระทบ ก็ทำให้บางคนรับมือไม่ไหว แต่ในวันที่สุขภาพจิตใจของเราแข็งแรงดี ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือเรื่องเครียดๆ เข้ามากระทบแค่ไหน เราก็รับมือกับมันได้ด้วยดี เป็นเพราะเรายังอยู่ใน "โซนสบาย" ภายในหน้าต่างความทนทาน!
เข้าใจให้ลึกซึ้งอคติในเรื่องเพศสร้าง “บาดแผลที่มองไม่เห็น” ในใจชาว LGBTQIA+
Microaggressions คือ การกระทบกระทั่งเล็กๆ หรือการเหยียดที่สะท้อน อคติเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ (ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวก็ตาม) แต่สร้างรอยช้ำลึกในใจชาว LGBTQIA+มาแกะรอยเส้นทางความเจ็บปวดนี้ เพื่อทำความเข้าใจว่ามันส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางจิตใจของผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างไร?
ปลดล็อกใจ ประโยชน์ 3 ข้อของ“การพูดคุยกับนักจิตฯ” ที่คุณอาจไม่เคยรู้
หนึ่งในประโยชน์ที่เราได้รับทันทีจากการบำบัดทางจิตใจ คือ เราได้เปล่งเสียง ที่อยู่ในความคิดและความรู้สึกของเราออกมา การซื่อสัตย์และกล้าเปิดใจพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจแม้จะดูเล็กน้อย แต่ช่วยให้เราโล่งใจและบรรเทาความรู้สึกไม่ดีลงได้อย่างมาก...
สิ่งที่เราอาจสงสัยเกี่ยวกับ “การพูดคุยกับนักจิตฯ”
หลายๆ คนคงเคยสงสัยว่าการเปิดใจคุยกับนักจิตวิทยาหรือนักจิตบำบัดเป็นอย่างไร หรือให้ผลดีกับเราอย่างไร? เพราะไม่รู้ว่าควรคาดหวังอะไร หรือรู้สึกอย่างไร และจะได้เจออะไรบ้างในการบำบัด? แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับแน่นอนจากการบำบัด คือเราอนุญาตให้ตัวเองได้เปิดใจและซื่อสัตย์ต่อตัวเอง กระบวนการในห้องบำบัดจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น...
จัดการความเครียดที่กระทบความสัมพันธ์ของเรา ด้วยเทคนิค “ตะกร้า 3 ใบ”
นักจิตบำบัดคู่รัก Elizabeth Earnshaw ได้นำเสนอเทคนิคง่ายๆ เพื่อให้คู่รักได้หาเวลามา "นั่งจับเข่าคุย", "ทำลิสต์รายการความเครียด" และใช้เพียง “ตะกร้า 3 ใบ” จัดการกับมัน โดยเทคนิคนี้นำมาจากแนวคิด Spillover เพื่อให้คู่รักได้เริ่มกลับมาทบทวนว่า “อะไรที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้” และ “หาทางรับมือกับสิ่งที่เปล ี่ยนแปลงไม่ได้” โดยมีขั้นตอนดังนี้...
ความเครียดจากงาน “ไม่ได้บั่นทอนแค่ตัวเรา” แต่กระทบสุขภาพจิตใจของคนที่บ้านด้วย
งานวิจัยบอกเราว่า Work-Life Conflict ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งจาก “งานสู่ครอบครัว” และ “ครอบครัวสู่ที่ทำงาน” ล้วนสร้างความเครียดให้เรา แต่รู้ไหมว่า? ความเครียดที่ท่วมท้นนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเราคนเดียว แต่อาจกระทบคนที่บ้านด้วย Mission On มีแนวคิดจิตวิทยาที่อธิบายเรื่องนี้ได้ มาเล่าสู่กันฟัง...
ความเครียดจากงาน “ท่วมท้น จนล้น” บั่นทอนชีวิตส่วนตัว (Stress Spillover Part 1)
หลายๆ คนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ Work-Life Balance การรักษาสมดุล หรือ “จัดลำดับความสำคัญ” ระหว่างเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวที่อยู่นอกเหนือจากงานด้วย เช่น สุขภาพ ความสุข ครอบครัว เวลาว่าง และถ้าเรารักษาสมดุลระหว่าง 2 สิ่งนี้ไม่ได้ล่ะ ความเครียดจากงาน จะส่งผลเสียต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของเราอย่างไร?...
เมื่อใจสั่นไหว... เหตุการณ์แผ่นดินไหวส่งผลกระทบกับเราอย่างไร?
เหตุการณ์สะเทือนใจ (Traumatic event) คือ ประสบการณ์ที่น่ากลัว น่าตกใจ หรือเป็นอันตรายกับตัวเรา ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจ หรืออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และร่างกายของเรา เหตุการณ์สะเทือนใจอาจเป็นไปได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ภัยธรรมชาติ เจอความรุนแรง หรืออุบัติเหตุต่างๆ...
เมื่อ Self-esteem ต่ำเกินไป ทำให้เราไม่รักกัน และไม่รักตัวเอง
มีหลักฐานจากงานวิจัยไม่น้อยว่า ความรู้สึกไร้ค่า (Worthlessness) และ ความเกลียดชังตัวเอง (Self-hatred) สามารถส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ได้ คนที่มี Self-esteem ต่ำ มักจะประเมินความรักของคนรักต่ำกว่าความเป็นจริง และมักมองคนรักของตัวเองในแง่ลบ จริงหรือเปล่า?
14 มีนาคม White Day: "มากกว่าการให้ของขวัญตอบแทน" จิตวิทยาของการให้และการได้รับ
หลายๆ คนคงรู้จักดีอยู่แล้วว่า “วันไวต์เดย์” (14 มีนาคม) เป็นวันที่เรา ให้ของขวัญตอบแทนคนรัก หลังที่เราได้รับมาในวันวาเลนไทน์ แต่รู้ไหมว่า? การให้ในวัน White Day ไม่ได้มีดี แค่เป็นเรื่องเทศกาลน่ารักๆ แต่ยังส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และสุขภาพจิตใจของเราด้วย
“รักตัวเอง” ไม่ต้องเริ่มที่ตัวเองเสมอไป
ไม่จำเป็นต้องรักตัวเองก่อนเสมอไป ความรักจากคนอื่นสามารถช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะรักตัวเองได้เช่นกัน คำกล่าวทางจิตวิทยาที่บอกว่า เราจะต้องเริ่มรักตัวเองก่อน ก่อนจะให้คนอื่นมารักเรา แต่ในความเป็นจริงแล้วหลายๆ คน ก็เรียนรู้วิธีที่จะรักตัวเอง โดยการได้รับความรักจากคนอื่นมาก่อน...
Valentine’s Day คู่มือเอาตัวรอด ฉบับคนมีคู่: วันแห่งความรัก หรือวันแห่งการทะเลาะ
เข้าเดือนกุมภาพันธ์ วันแห่งความร ักก็วนมาอีกแล้ว สำหรับคนมีคู่และกำลังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก อาจจะอยากแกล้งทำเป็นลืมวันนี้ไปเลย เพราะจริง ๆ แล้ว วันวาเลนไทน์อาจสร้างโอกาสให้คู่รักทะเลาะเบาะแว้งกัน หากแต่ละฝ่ายตั้งความหวังในกันและกันเอาไว้สูง
จริงหรือไม่? หากจะรักคนอื่น ต้องรักตัวเองให้เป็นก่อน
หลายคนคงเคยได้ยินกันบ่อย ว่าการจะรักใครได้จริงๆ ต้องเริ่มจากการรักตัวเองก่อน แต่คำพูดนี้มันจริงเท็จมากน้อยแค่ไหนกัน? มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับไหม? หรือเป็นแค่คำพูดที่ฟังดูดี เพื่อปลอบใจตัวเอง? วันนี้ Mission On อยากชวนทุกคนมาหาคำตอบทางจิตวิทยาเบื้องหลังเรื่องราวของ “การรักตัวเอง” หรือ Self-love กัน
จิตวิทยาเบื้องหลัง New Year’s Resolution ข้อดีของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่คืออะไร?
ปีใหม่นี้หลายๆ คนคงกำลังตั้งใจตั้งเป้าหมายปีใหม่กันอยู่ แม้จะเป็นธรรมเนียมที่คนนิยมทำกันมานาน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นมันดูเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จ ลองมาเจาะลึกจิตวิทยาเบื้องหลัง New Year’s Resolutions กัน เพื่อดูว่าอะไรจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้
ทำไมเราต้องตั้ง New Year’s Resolution … และทำอย่างไรให้เราเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน?
เมื่อเราตั้งเป้าหมายปีใหม่ที่ใหญ่เกินไป และคาดหวังว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในทันที…มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ จนมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะกลายเป็นนิสัยใหม่ของเราในที่สุด
ทำไมเราถึงล้มเหลว? จิตวิทยาเบื้องหลังการตั้งเป้าหมายที่ไม่สำเร็จ
การก้าวเข้าสู่ปีใหม่ มีหลาย ๆ คนคงตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ หรือ New Year’s Resolution ไว้มากมาย ด้วยความหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้ ... น่าเสียดายที่การมองโลกในแง่บวกอย่างเดียว อาจไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการได้ ความจริง มีอะไรบ้างมาดูกัน
ตั้งเป้าหมายด้วยความเข้าใจ New Year's Resolutions สำเร็จได้อย่างยั่งยืน (Part 2)
เคล็ดลับที่น่าสนใจคือ สมองส่วนหุนหันพลันแล่นของเรา ไม่ได้สื่อสารเป็นประโยค แต่สื่อสารเป็นเงื่อนไข เช่น “ถ้าฉันเห็นสิ่งนี้ … ฉันจะทำแบบนี้” มาดูกันว่าเราจะใช้สูตรโกงอย่างไร เพื่อให้เราทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ โดยไม่ต้องฝืนต่อสู้กับสมองส่วนหุนหันพลันแล่น
ตั้งเป้าหมายด้วยความเข้าใจ New Year's Resolutions สำเร็จได้อย่างยั่งยืน (Part 1)
หลาย ๆ คนคุ้นเคยกับการตั้ง New Year’s Resolutions หรือเป้าหมายในช่วงปีใหม่ ด้วยความตั้งใจที่ดี แต่สุดท้ายก็มักจะล้มเหลวไม่เป็นท่าภายในไม่กี่สัปดาห์ คำถามคือทำไมการตั้งเป้าหมายของเราถึงล้มเหลว และเราควรจะทำอย่างไรเพื่อช่วยให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ประสบความสำเร็จ?
Toxic Family ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษในครอบครัว ... รับมืออย่างไรในช่วงปีใหม่ (Part 1)
Toxic Relationship ในครอบครัว คือรูปแบบความสัมพันธ์ที่สร้างความเสียหายทางด้านจิตใจ ซึ่งสามารถแสดงออกในหลายรูปแบบ เช่น การวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง การควบคุม การขาดความเห็นอกเห็นใจ การไม่เคารพขอบเขตพื้นที่ส่วนตัว ความรู้สึก หรือความต้องการ การเพิกเฉย การใช้ความรุนแรง ฯล ฯ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทางลบต่อสุขภาพจิตของสมาชิกในครอบครัว
การบำบัดแบบ CBT
CBT นั้นย่อมาจาก Cognitive Behavioral Therapy หรือ การบำบัดความคิดและพฤติกรรม เป็นการบำบัดรูปแบบหนึ่งที่มีงานวิจัยรองรับมากมายว่ามีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหล ือปัญหาที่หลากหลาย การบำบัดนี้ใช้วิธีการพูดคุยเพื่อให้ผู้รับการบำบัดเข้าใจถึงความคิด ความเชื่อ หรือการรับรู้ของตนเองในสถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลกับอารมณ์ ร่างกาย ความคิดต่อยอด และการกระทำ โดยใช้กระบวนการถามตอบเพื่อสำรวจและทดสอบความคิดที่ไม่สมเหตุสมผล การปรับพฤติกรรม และการจัดการร่างกายของผู้รับการบำบัดให้สอดคล้องและสมดุลกับความเป็นจริงของปัจจัยในชีวิตของแต่ละคน
การบำบัดแบบคู่ (Couple therapy)
การบำบัดแบบคู่ (Couple therapy) เป็นการบำบัดเพื่อช่วยเหลือคู่รักที่มีปัญหาด ้านความสัมพันธ์ที่เกิดจากการขัดแย้งไม่เข้าใจกันทาง ความคิด ทัศนคติ เซ็กส์ นิสัย พฤติกรรม สิ่งที่ต่างๆ ที่ส่งผลต่อความรู้สึกของอีกฝ่าย เป็นต้น นักบำบัดจะเป็นคนกลางที่สะท้อนความคิดและความรู้สึกของอีกฝ่ายเพื่อให้เข้าใจอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
การปรึกษา จิตบำบัด
การปรึกษา (Counselling) หรือ จิตบำบัด (Therapy หรือ Psychotherapy) คือการให้คำปรึกษาบำบัด หลายครั้งผ่านการพูดคุยร่วมกันกับนักจิตบำบัดหรือนักจิตวิทยาการปรึกษาเพื่อหาทางออกและจัดการปัญหาร่วมกันในรูปแบบการบำบัดที่ผู้เข้าปรึกษาต้องการ ซึ่งสิ่งที่คุยกันในชั่วโมงบำบัดจะถูกเก็บเป็นความลับ (อ่านเงื่อนไขและข้อกำหนด) ซึ่งระยะเวลาการบำบัดนั้นจะขึ้นอยู่กับ ปัญหา วิธีการบำบัด ผู้รับการบำบัด และความเหมาะสม
การบำบัดแบบ EMDR
การบําบัดแบบ EMDR นั้นมีเป้าหมายในการจัดการความทรงจำที่เป็นบาดแผลทางใจ เรื่องฝังใจ หรือปมในใจ หรือเกิดจากเหตุสะเทือนขวัญบางอย่างในอดีตซึ่งมีผลกระทบจากเหตุการณ์อยู่ถึงปัจจุบัน ให้คลี่คลายอย่างเบ็ดเสร็จสม บูรณ์ โดยช่วยให้ความทรงจำในอดีตนั้นได้ถูกจัดเก็บอย่างปกติในสมองจนกลายเป็นเพียงเรื่องในอดีตได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้เรื่องเหล่านั้นไม่มีผบกระทบด้านลบในปัจจุบันอีกต่อไป























































