บทความจิตวิทยา
พูดขอโทษในเวลาที่ไม่จำเป็น—นิสัยละเลยตัวเอง ที่เราควรหยุดทำ
พูด ‘ขอโทษ’ ในเวลาที่ไม่จำเป็น อาจเป็นพฤติกรรมที่ดูเหมือนอ่อนโยน แต่จริงๆ แล้วคือ “นิสัยละเลยตัวเอง” ที่อันตราย เพราะมันคือการ “ยินยอมกักขังความรู้สึกผิด” ไว้กับตัวเอง และลดทอนคุณค่าในตัวเองลงอย่างเงียบๆ แล้วเราจะมีวิธีปรับปรุงมันอย่างไร? อ่านต่อได้ในบทความนี้
วิธีแก้ไขการสื่อสารเป็นพิษ [4]—เปลี่ยนจ ากการปิดกั้น หันหน้าหนี เป็นขอเวลาพัก และรักษาสมดุลใจ
ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่เรารู้สึกอยาก “หนี” หรือเลือกที่จะนิ่งเงียบ หันหน้าหนี และทำเป็นไม่ได้ยิน—แต่รู้ไหมว่า? การเลือกที่จะไม่ตอบสนองต่อคู่รักหรืออีกฝ่ายในความความสัมพันธ์ มันไม่ใช่อาการเบื่อหน่าย แต่เป็นเพราะมีความรู้สึกลบๆ ที่ท่วมท้น จนร่างกายตอบสนองด้วยการปิดตัว ไม่รับรู้ หยุดพูด และปลีกตัวออกไป ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ เราจะมีวีธีปรับปรุงให้มันดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง?
ตอบใช่ทั้งที่ในใจอยากตอบว่าไม่—นิสัยละเลยตัวเอง ที่เราควรหยุดทำ
พฤติกรรมต่อไปนี้กำลังกัดกร่อนความเชื่อใจที่เราควรมีให้ตัวเอง และทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเองน้อยลง ทุกครั้งที่เราตอบตกลง ในสิ่งที่ขัดต่อความต้องการ หรือความจำเป็นบางอย่างของตัวเอง เรากำลัง “ไม่ซื่อสัตย์” กับความรู้สึกตัวเอง และเลือกที่จะประนีประนอมด้วยการ “เก็บซ่อนตัวตน หรือความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้” ลองเปลี่ยนมาฝึกฝนปฏิเสธอย่างอ่อนโยนแบบนี้
วิธีแก้ไขการสื่อสารเป็นพิษ [3]—เปลี่ยนจากปกป้องตัวเอง (แบบไม่เป็นมิตร) เป็นยอมรับและรับผิดชอบ
พฤติกรรมปกป้องตัวเองแบบนี้ เช่น แก้ตัว แสดงความขุ่นเคือง ต่อต้าน เล่นบทเหยื่อและกล่าวโทษอีกฝ่าย ฯลฯ ไม่เคยช่วยแก้ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ได้เลย มันยิ่งทำให้ความขัดแย้งบานปลาย แต่รู้ไหมว่า? 'ยาแก้พิษ' ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการสื่อสารแบบปกป้องตัวเอง คือ "การยินยอมที่จะรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง" แม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของความขัดแย้งนั้นก็ตาม
ไถฟีดไม่ระวัง—อาจได้ความเครียด วิตกกังวล ‘กระตุ้นบาดแผลทางใจ’ ให้กลับมาแบบไม่รู้ตัว
ไถฟีดแบบอันตราย (Doomscrolling) หรือการเสพข่าว คอนเทนต์บนโซเชียล จากข่าวหนึ่งไปสู่โพสต์ต่อไป ไปอ่านความคิดเห็น ไปอ่านต่อที่เพจอื่น และไปเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านเวลาไปนาน แต่สิ่งที่เหลือไว้คือ ความรู้สึกเครียดๆ วิตกกังวล อ่อนเพลีย หรืออารมณ์ที่ปั่นป่วนไปหมด
วิธีแก้ไขการสื่อสารเป็นพิษ [2]—เปลี่ยนคำเหยียดดูถูกเป็นชื่นชมและให้เกียรติ
เมื่อพบว่าในความสัมพันธ์ของเรามีการสื่อสารแบบ “ดูถูกเหยียดหยาม” รู้ได้เลยว่า มันคือมุมมองลบๆ ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสะสมมานาน จนปะทุออกมาเป็นคำพูด การกระทำร้ายๆ เช่น การพูดเสียดสี ประชดประชัน ล้อเลียน เยาะเย้ย เราจะมีวิธีจัดการแก้ไขหรือถอนพิษมันได้อย่างไร ตามมาดูกัน
วิธีแก้ไขการสื่อสารเป็นพิษ [1]—เปลี่ยนคำช่างติ ด้วยการไม่พูดกล่าวโทษที่ตัวตน
เราจะมีวิธีจัดการแก้ไขหรือถอนพิษ (Antidote) จากอัศวินตัวแรกอย่าง ‘การวิพากษ์วิจารณ์’ (Criticism) ในความสัมพันธ์ได้อย่างไรบ้าง? คำตอบคือ ใช้ I-Statement (หรือการไม่พูดกล่าวโทษที่ตัวตน) และเริ่มต้นบทสนทนาอย่างอ่อนโยน แต่ทำอย่างไร? ตามมาดูกัน
4 รูปแบบการสื่อสารที่เป็นพิษ บั่นทอนความสัมพันธ์จนอาจนำไปสู่จุดจบ!
4 รูปแบบการสื่อสารที่เป็นพิษว่า คือ (1) การวิพากษ์วิจารณ์ (2) ดูถูกเหยียดหยาม (3) ปกป้องตัวเอง/หาข้อแก้ตัว (4) ปิดกั้นทางอารมณ์ ที่ Dr John Gottman เรียกว่า “4 อัศวิน”เป็นการสื่อสารที่กัดกร่อนความสัมพันธ์ ทำให้ความขัดแย้งบานปลาย ทำลายความผูกพันจนนำไปสู่จุดจบในที่สุด
ก้าวแรกสู่การเยียวยาเมื่อเจอกับความสูญเสีย ถูกหักหลัง ไม่ให้เกียรติ
“การยอมรับ” ดูเหมือนเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก จนบางครั้งเราอาจรู้สึกอยากต่อต้านด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามมันเป็นส่วนสำคัญของการบำบัดเยียวยาจิตใจต่างๆ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? การรับรู้และยอมรับความจริงในปัจจุบันของตัวเอง "อย่างเป็นกลาง ไม่ตัดสิน" ช่วยเยียวยาเราจากความเจ็บปวดและบาดแผลทางใจอย่างไร? แล้วมาเริ่มฝึกฝนการยอมรับเบื้อ งต้นด้วย 4 ขั้นตอนแบบนี้...
เมื่อการมีอายุมากขึ้น อาจไม่ได้บ่งบอกว่าจะมี "วุฒิภาวะทางอารมณ์" ได้อย่างสมวัย (Emotional Immaturity 1)
บางคนแม้จะมีอายุที่มากขึ้น แต่ยังมีพฤติกรรมที่คล้ายเด็กๆ อย่างที่เรามักเรียกว่าขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ เช่น หุนหันพลันแล่น เรียกร้องความสนใจ โกรธฉุนเฉียวเมื่อไม่ได้ดั่งใจ หรือหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ จนดูออกได้อย่างชัดเจนว่าไม่สามารถควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ได้ จิตวิทยามีคำอธิบายในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
เทคนิคปลุกพลังใจยังไง? เมื่อรู้สึกชา ไร้เรี่ยวแรง (Window of Tolerance Part 7)
เมื่อเราเจอความเครียด-กดดันที่รุนแรง จนร่างกายมีภาวะ Hypoarousal หรือ ‘ตื่นตัวน้อยเกินไป' ที่มีอาการเฉื่อยชา หมดแรง ไร้ความรู้สึก ไปจนถึงไม่สามารถประมวลผลความคิด และเคลื่อนไหวร่างกายได้น้อยลง มาเรียนรู้วิธีการดูแลตัวเองเมื่อเจอภาวะแบบนี้กันค่ะ
เทคนิคกำกับควบคุมตัวเองยังไง? เมื่ออารมณ์พุ่งพล่าน! (Window of Tolerance Part 6)
เมื่อมีภาวะ Hyperarousal ที่ทำให้เราวิตกกังวล โกรธ แบบพลุ่งพล่านจนควบคุมไม่อยู่! อย่าปล่อยให้ตัวเอง ‘หลุด’ ออกจากหน้าต่างควาทนทาน มาเรียนรู้วิธีดึงตัวเองกลับมาสู่ “โซนสบาย” หรือสภาวะสมดุลของกายและใจ ที่ทำให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลาย แม้ต้องรับมือกับเรื่องเครียดๆ ในชีวิตประจำวันกันค่ะ
ขยายหน้าต่างความทนทานให้กว้างขึ้น ด้วย 4 วิธีง่ายๆ (Window of Tolerance Part 5)
การขยายหน้าต่างความทนทานให้กว้างขึ้น ช่วยให้เราอยู่ใน “โซนสบาย” หรือ สภาวะสมดุลของกายและใจได้นานขึ้น ช่วยหลีกเลี่ยงภาวะที่เราควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อเจอกับความเครียดสูงๆ ในขณะที่ต้องจัดการสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้ผ่านพ้นไปด้วยดี มี 4 วิธี ให้เลือกทำได้ดังต่อไปนี้
4 ขั้นตอนทำความรู้จัก “หน้าต่างความทนทาน” (Window of Tolerance Part 4)
การรู้จักกับ Window of Tolerance เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมันช่วยให้เรา ‘ฟื้นตัว’ จากสภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้โดยเฉพาะในเวลาที่เรามีภาวะ Hyperarousal และ Hypoarousal ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จัก Window of Tolerance ของตัวเองด้วยการสังเกตุ ร่างกายและอารมณ์ ผ่าน 4 ขั้นตอนแบบนี้...
ใจเกินต้าน มาทำความรู้จักกับ ‘หน้าต่างความทนทาน’ (Window of Tolerance Part 1)
เมื่อสภาพจิตใจหรืออารมณ์ของเรา ‘ไม่พร้อม’ แค่เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เข้ามากระทบ ก็ทำให้บางคนรับมือไม่ไหว แต่ในวันที่สุขภาพจิตใจของเราแข็งแรงดี ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือเรื่องเครียดๆ เข้ามากระทบแค่ไหน เราก็รับมือกับมันได้ด้วยดี เป็นเพราะเรายังอยู่ใน "โซนสบาย" ภายในหน้าต่างความทนทาน!
เข้าใจให้ลึกซึ้งอคติในเรื่องเพศสร้าง “บาดแผลที่มองไม่เห็น” ในใจชาว LGBTQIA+
Microaggressions คือ การกระทบกระทั่งเล็กๆ หรือการเหยียดที่สะท้อน อคติเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ (ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวก็ตาม) แต่สร้างรอยช้ำลึกในใจชาว LGBTQIA+มาแกะรอยเส้นทางความเจ็บปวดนี้ เพื่อทำความเข้าใจว่ามันส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางจิตใจของผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างไร?
ปลดล็อกใจ ประโยชน์ 3 ข้อของ“การพูดคุยกับนักจิตฯ” ที่คุณอาจไม่เคยรู้
หนึ่งในประโยชน์ที่เราได้รับทันทีจากการบำบัดทางจิตใจ คือ เราได้เปล่งเสียง ที่อยู่ในความคิดและความรู้สึกของเราออกมา การซื่อสัตย์และกล้าเปิดใจพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจแม้จะดูเล็กน้อย แต่ช่วยให้เราโล่งใจและบรรเทาความรู้สึกไม่ดีลงได้อย่างมาก...
สิ่งที่เราอาจสงสัยเกี่ยวกับ “การพูดคุยกับนักจิตฯ”
หลายๆ คนคงเคยสงสัยว่าการเปิดใจคุยกับนักจิตวิทยาหรือนักจิตบำบัดเป็นอย่างไร หรือให้ผลดีกับเราอย่างไร? เพราะไม่รู้ว่าควรคาดหวังอะไร หรือรู้สึกอย่างไร และจะได้เจออะไรบ้างในการบำบัด? แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับแน่นอนจากการบำบัด คือเราอนุญาตให้ตัวเองได้เปิดใจและซื่อสัตย์ต่อตัวเอง กระบวนการในห้องบำบัดจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น...
จัดการความเครีย ดที่กระทบความสัมพันธ์ของเรา ด้วยเทคนิค “ตะกร้า 3 ใบ”
นักจิตบำบัดคู่รัก Elizabeth Earnshaw ได้นำเสนอเทคนิคง่ายๆ เพื่อให้คู่รักได้หาเวลามา "นั่งจับเข่าคุย", "ทำลิสต์รายการความเครียด" และใช้เพียง “ตะกร้า 3 ใบ” จัดการกับมัน โดยเทคนิคนี้นำมาจากแนวคิด Spillover เพื่อให้คู่รักได้เริ่มกลับมาทบทวนว่า “อะไรที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้” และ “หาทางรับมือกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้” โดยมีขั้นตอนดังนี้...
ความเครียดจากงาน “ไม่ได้บั่นทอนแค่ตัวเรา” แต่กระท บสุขภาพจิตใจของคนที่บ้านด้วย
งานวิจัยบอกเราว่า Work-Life Conflict ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งจาก “งานสู่ครอบครัว” และ “ครอบครัวสู่ที่ทำงาน” ล้วนสร้างความเครียดให้เรา แต่รู้ไหมว่า? ความเครียดที่ท่วมท้นนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเราคนเดียว แต่อาจกระทบคนที่บ้านด้วย Mission On มีแนวคิดจิตวิทยาที่อธิบายเรื่องนี้ได้ มาเล่าสู่กันฟัง...
ความเครียดจากงาน “ท่วมท้น จนล้น” บั่นทอนชีวิตส่วนตัว (Stress Spillover Part 1)
หลายๆ คนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ Work-Life Balance การรักษาสมดุล หรือ “จัดลำดับความสำคัญ” ระหว่างเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวที่อยู่นอกเหนือจากงานด้วย เช่น สุขภาพ ความสุข ครอบครัว เวลาว่าง และถ้าเรารักษาสมดุลระหว่าง 2 สิ่งนี้ไม่ได้ล่ะ ความเครียดจากงาน จะส่งผลเสียต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของเราอย่างไร?...
เมื่อใจสั่นไหว... เหตุการณ์แผ่นดินไหวส่งผลกระทบกับเราอย่างไร?
เหตุการณ์สะเทือนใจ (Traumatic event) คือ ประสบการณ์ที่น่ากลัว น่าตกใจ หรือเป็นอันตรายกับตัวเรา ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจ หรืออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และร่างกายของเรา เหตุการณ์สะเทือนใจอาจเป็นไปได้หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ภัยธรรมชาติ เจอความรุนแรง หรืออุบัติเหตุต่างๆ...
เมื่อ Self-esteem ต่ำเกินไป ทำให้เราไม่รักกัน และไม่รักตัวเอง
มีหลักฐานจากงานวิจัยไม่น้อยว่า ความรู้สึกไร้ค่า (Worthlessness) และ ความเกลียดชังตัวเอง (Self-hatred) สามารถส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ได้ คนที่มี Self-esteem ต่ำ มักจะประเมินความรักของคนรักต่ำกว่าความเป็นจริง และมักมองคนรักของตัวเองในแง่ลบ จริงหรือเปล่า?
14 มีนาคม White Day: "มากกว่าการให้ของขวัญตอบแทน" จิตวิทยาของการให้และการได้รับ
หลายๆ คนคงรู้จักดีอยู่แล้วว่า “วันไวต์เดย์” (14 มีนาคม) เป็นวันที่เรา ให้ของขวัญตอบแทนคนรัก หลังที่เราได้รับมาในวันวาเลนไทน์ แต่รู้ไหมว่า? การให้ในวัน White Day ไม่ได้มีดี แค่เป็นเรื่องเทศกาลน่ารักๆ แต่ยังส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และสุขภาพจิตใจของเราด้วย
“รักตัวเอง” ไม่ต้องเริ่มที่ตัวเองเสมอไป
ไม่จำเป็นต้องรักตัวเองก่อนเสมอไป ความรักจากคนอื่นสามารถช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะรักตัวเองได้เช่นกัน คำกล่าวทางจิตวิทยาที่บอกว่า เราจะต้องเริ่มรักตัวเองก่อน ก่อนจะให้คนอื่นมารักเรา แต่ในความเป็นจริงแล้วหลายๆ คน ก็เรียนรู้วิธีที่จะรักตัวเอง โดยการได้รับความรักจากคนอื่นมาก่อน...
Valentine’s Day คู่มือเอาตัวรอด ฉบับคนมีคู่: วันแห่งความรัก หรือวันแห่งการทะเลาะ
เข้าเดือนกุมภาพันธ์ วันแห่งความรักก็วนมาอีกแล้ว สำหรับคนมีคู่และกำลังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก อาจจะอยากแกล้งทำเป็นลืมวันนี้ไปเลย เพราะจริง ๆ แล้ว วันวาเลนไทน์อาจสร้างโอกาส ให้คู่รักทะเลาะเบาะแว้งกัน หากแต่ละฝ่ายตั้งความหวังในกันและกันเอาไว้สูง
จริงหรือไม่? หากจะรักคนอื่น ต้องรักตัวเองให้เป็นก่อน
หลายคนคงเคยได้ยินกันบ่อย ว่าการจะรักใครได้จริงๆ ต้องเริ่มจากการรักตัวเองก่อน แต่คำพูดนี้มันจริงเท็จมากน้อยแค่ไหนกัน? มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับไหม? หรือเป็นแค่คำพูดที่ฟังดูดี เพื่อปลอบใจตัวเอง? วันนี้ Mission On อยากชวนทุกคนมาหาคำตอบทางจิตวิทยาเบื้องหลังเรื่องราวของ “การรักตัวเอง” หรือ Self-love กัน
จิตวิทยาเบื้องหลัง New Year’s Resolution ข้อดีของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่คืออะไร?
ปีใหม่นี้หลายๆ คนคงกำลังตั้งใจตั้งเป้าหมายปีใหม่กันอยู่ แม้จะเป็นธรรมเนียมที่คนนิยมทำกันมานาน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นมันดูเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จ ลองมาเจาะลึกจิตวิทยาเบื้องหลัง New Year’s Resolutions กัน เพื่อดูว่าอะไรจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้
ทำไมเราต้องตั้ง New Year’s Resolution … และทำอย่างไรให้เราเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน?
เมื่อเราตั้งเป้าหมายปีใหม่ที่ใหญ่เกินไป และคาดหวังว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในทันที…มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ จนมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะกลายเป็นนิสัยใหม่ของเราในที่สุด
ทำไมเราถึงล้มเหลว? จิตวิทยาเบื้องหลังการตั้งเป้าหมายที่ไม่สำเร็จ
การก้าวเข้าสู่ปีใหม่ มีหลาย ๆ คนคงตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ หรือ New Year’s Resolution ไว้มากมาย ด้วยความหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้ ... น่าเสียดายที่การมองโลกในแง่บวกอย่างเดียว อาจไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการได้ ความจริง มีอะไรบ้างมาดูกัน
ตั้งเป้าหมายด้วยความเข้าใจ New Year's Resolutions สำเร็จได้อย่างยั่งยืน (Part 2)
เคล็ดลับที่น่าสนใจคือ สมองส่วนหุนหันพลันแล่นของเรา ไม่ได้สื่อสารเป็นประโยค แต่สื่อสารเป็นเงื่อนไข เช่น “ถ้าฉันเห็นสิ่งนี้ … ฉันจะทำแบบนี้” มาดูกันว่าเราจะใช้สูตรโกงอย่างไร เพื่อให้เราทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ โดยไม่ต้องฝืนต่อสู้กับสมองส่วนหุนหันพลันแล่น
ตั้งเป้าหมายด้วยความเข้าใจ New Year's Resolutions สำเร็จได้อย่างยั่งยืน (Part 1)
หลาย ๆ คนคุ้นเคยกับการตั้ง New Year’s Resolutions หรือเป้าหมายในช่วงปีใหม่ ด้วยความตั้งใจที่ดี แต่สุดท้ายก็มักจะล้มเหลวไม่เป็นท่าภายในไม่กี่สัปดาห์ คำถามคือทำไมการตั้งเป้าหมายของเราถึงล้มเหลว และเราควรจะทำอย่างไรเพื่อช่วยให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ประสบความสำเร็จ?
Toxic Family ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษในครอบครัว ... รับมืออย่างไรในช่วงปีใหม่ (Part 1)
Toxic Relationship ในครอบครัว คือรูปแบบความสัมพันธ์ที่สร้างความเสียหายทางด้านจิตใจ ซึ่งสามารถแสดงออกในหลายรูปแบบ เช่น การวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง การควบคุม การขาดความเห็นอกเห็นใจ การไม่เคารพขอบเขตพื้นที่ส่วนตัว ความรู้สึก หรือความต้องการ การเพิกเฉย การใช้ความรุนแรง ฯลฯ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทางลบต่อสุขภาพจิตของสมาชิกในครอบครัว
การบำบัดแบบ CBT
CBT นั้นย่อมาจาก Cognitive Behavioral Therapy หรือ การบำบัดความคิดและพฤติกรรม เป็นการบำบัดรูปแบบหนึ่งที่มีงานวิจัยรองรับมากมายว่ามีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือปัญหาที่หลากหลาย การบำบัดนี้ใช้วิธีการพูดคุยเพื่อให้ผู้รับการบำบัดเข้าใจถึงความคิด ความเชื่อ หรือการรับรู้ของตนเองในสถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลกับอารมณ์ ร่างกาย ความคิดต่อยอด และการกระทำ โดยใช้กระบวนการถามตอบเพื่อสำรวจและทดสอบความคิดที่ไม่สมเหตุสมผล การปรับพฤติกรรม และการจัดการร่างกายของผู้รับการบำบัดให้สอดคล้องและสมดุลกับความเป็นจริงของปัจจัยในชีวิตของแต่ละคน
การบำบัดแบบคู่ (Couple therapy)
การบำบัดแบบคู่ (Couple therapy) เป็น การบำบัดเพื่อช่วยเหลือคู่รักที่มีปัญหาด้านความสัมพันธ์ที่เกิดจากการขัดแย้งไม่เข้าใจกันทาง ความคิด ทัศนคติ เซ็กส์ นิสัย พฤติกรรม สิ่งที่ต่างๆ ที่ส่งผลต่อความรู้สึกของอีกฝ่าย เป็นต้น นักบำบัดจะเป็นคนกลางที่สะท้อนความคิดและความรู้สึกของอีกฝ่ายเพื่อให้เข้าใจอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
การปรึกษา จิตบำบัด
การปรึกษา (Counselling) หรือ จิตบำบัด (Therapy หรือ Psychotherapy) คือการให้คำปรึกษาบำบัด หลายครั้งผ่านการพูดคุยร่วมกันกับนักจิตบำบัดหรือนักจิตวิทยาการปรึกษาเพื่อหาทางออกและจัดการปัญหาร่วมกันในรูปแบบการบำบัดที่ผู้เข้าปรึกษาต้องการ ซึ่งสิ่งที่คุยกันในชั่วโมงบำบัดจะถูกเก็บเป็นความลับ (อ่านเงื่อนไขและข้อกำหนด) ซึ่งระยะเวลาการบำบัดนั้นจะขึ้นอยู่กับ ปัญหา วิธีการบำบัด ผู้รับการบำบัด และความเหมาะสม
การบำบัดแบบ EMDR
การบําบัดแบบ EMDR นั้นมีเป้าหมายในการจัดการความทรงจำที่เป็นบาดแผลทางใจ เรื่องฝังใจ หรือปมในใจ หรือเกิดจากเหตุสะเทือนขวัญบางอย่างในอด ีตซึ่งมีผลกระทบจากเหตุการณ์อยู่ถึงปัจจุบัน ให้คลี่คลายอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ โดยช่วยให้ความทรงจำในอดีตนั้นได้ถูกจัดเก็บอย่างปกติในสมองจนกลายเป็นเพียงเรื่องในอดีตได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้เรื่องเหล่านั้นไม่มีผบกระทบด้านลบในปัจจุบันอีกต่อไป


























































